เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา เมื่อวานนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เวลาแสดงธรรมมีพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม แล้วเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ต่อไป แล้วเทศน์อนัตตลักขณสูตรเป็นพระอรหันต์ เวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาๆ คำว่า “เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา”
นี่วันเข้าพรรษา ถ้าเราอยู่ทางภาคอีสานนะ เขาจะไปทำวัตรครูบาอาจารย์กัน เวลาทำวัตรครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านพยายามจะเน้นให้อุบายให้วิธีการ มันเหมือนกับสมัยพุทธกาล
เวลาพุทธกาล ดูสิ พระจักขุบาลเวลาเข้าพรรษาอธิษฐานไม่นอน ๓ เดือนจนตาบอด พระโสณะเดินจงกรม เวลาพรรษาเขาอธิษฐานพรรษาเพื่อความมุมานะ เพื่อการแสวงหา เพื่อความเป็นจริง
เวลาเข้าพรรษาขึ้นมาเราก็ถวายเทียนพรรษา เทียนพรรษานี้ให้พระได้ศึกษา ศึกษาเพราะมันต้องดูหนังสือไง สมัยโบราณไม่มีไฟ มันก็ถวายเทียนพรรษา มันก็เลยเป็นประเพณีกันไป
นี่ก็เหมือนกัน เวลาพระปฏิบัติๆ เวลาเข้าพรรษา หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา กรณีเข้าพรรษาถือธุดงค์ๆ ธุดงค์เพื่ออะไร ธุดงค์เพื่อขัดเกลากิเลสไง
เวลาหลวงปู่หล้าท่านอยู่กับหลวงตาพระมหาบัวที่หนองผือ ที่วัดหลวงปู่มั่น เวลาบิณฑบาตได้สิ่งใดมา สิ่งใดที่มันถูกจริต มันชอบกิน ท่านโยนเข้าป่า โยนเข้าป่าเพื่อจะแก้กิเลสตัวเองไง
การถือธุดงค์ การถือธุดงค์นี้ถือธุดงค์เพื่อขัดเกลากิเลส สิ่งที่มันอยากได้ สิ่งที่มันเป็นไปมันไม่เป็นไป แต่พอถือธุดงค์ไปๆ เพราะมันด้วยกิตติศัพท์กิตติคุณการทำคุณงามความดี กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมไง พวกเราก็อยากสนับสนุน อยากเจือจาน ความสนับสนุนเจือจานขึ้นมาเพื่อบุญกุศล
เราขนกันมา ก่อนเข้าพรรษาเราขนของกันมาเพื่อส่งเสริมให้พระประพฤติปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมสัจจะความจริง
เวลาสัจจะความจริง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ สละราชบัลลังก์มา พระเจ้าพิมพิสาร แคว้นมคธเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่กว่า ก็ได้ข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะโดนปฏิวัติมา พระเจ้าพิมพิสารให้กองทัพครึ่งหนึ่งเลย ไปเอาคืน
เจ้าชายสิทธัตถะบอก ไม่ใช่ ออกแสวงหาโมกขธรรมจริงๆ ไม่ได้มีใครขับไล่ ไม่มีใครขับไสมาทั้งสิ้น ออกมา หนีมาเอง อยากได้เอง อยากได้โพธิญาณเอง
พระเจ้าพิมพิสารขอสัญญาไว้ ถ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมแล้วให้มาสอนด้วย ให้มาสอนด้วย สัญญาไว้เลย
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาไปสอนชฎิล ๓ พี่น้อง
ชฎิล ๓ พี่น้อง ตอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติ ชฎิล ๓ พี่น้องเป็นอาจารย์ของพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสาร เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแก้ชฎิล ๓ พี่น้องบูชาไฟ
ในศาสนาพราหมณ์ที่เขาหมุน เอาไฟมาหมุนวนๆ อยู่นั่นน่ะ บูชาไฟ บูชาไฟนั่นน่ะ เขาบูชาไฟก็เพ่งเป็นกสิณ พอเป็นกสิณเขาก็มีฤทธิ์มีเดชของเขา พอมีฤทธิ์มีเดชของเขามันก็เป็นทางโลก
นี่ไง โลกกับธรรมๆ ไง จะเป็นโลกุตตระ โลกุตตระอยู่ที่ไหน
มันเป็นเรื่องทางโลกทั้งสิ้น พอทางโลกทั้งสิ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแก้ไง พอแก้ “เธอไม่ใช่พระอรหันต์”
เพราะคนที่เขามีสติมีปัญญาเขาก็แสวงหาอยู่ แต่ไม่มีใครคอยบอกเขา อย่างเช่นของเรานักปราชญ์เก่งมากๆ ไม่มีใครเคยชี้ความบกพร่องของเราเลย แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้เลย ไม่ใช่ๆ พอไม่ใช่ๆ ขึ้นมา เขายอมเสียสละการบูชาไฟนั้นไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ อาทิตตปริยายสูตร โทสัคคินา โมหัคคินา โทสะเป็นไฟ ต่างๆ เป็นไฟ จนชฎิล ๓ พี่น้องเป็นพระอรหันต์หมดเลย พอเป็นพระอรหันต์หมดเลย พระเจ้าพิมพิสารจะไปเยี่ยมอาจารย์ของตน ไปเยี่ยมอาจารย์ของตนไปเห็นเลย
โอ้โฮ! อาจารย์ของตนเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอายุเพิ่ง ๓๐ กว่า เอ๊ะ! นั่นใครสมณะหนุ่มๆ นั่งอยู่นั่นองค์หนึ่ง ใครนั่นน่ะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณรู้หมดน่ะ เลยบอกชฎิลคนพี่ไง “เป็นหน้าที่ของเธอ”
เพราะพระอรหันต์มันก็เคารพบูชา คำว่า “เป็นพระอรหันต์” นะ เราเป็นบัณฑิต เราเป็นคนดี เราเคารพพ่อเคารพแม่เราไหม เราเคารพครูบาอาจารย์ของเราไหม สิ่งที่เป็นคนดีมันเคารพโดยหัวใจ ไม่ต้องบอกหรอก
แต่นี่บอก “เป็นหน้าที่ของเธอ เป็นหน้าที่ของเธอ” ชฎิลก็รู้ว่าเป็นหน้าที่ของตน เหาะขึ้นไปบนอากาศลงมา กราบเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา ข้าพเจ้าเป็นสาวก” เหาะขึ้นไปแล้วลงมาถึง ๓ รอบ
พระเจ้าพิมพิสารเข้าใจเลย นั่นน่ะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นี่ไง ให้ไปสั่งสอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน ได้พระโสดาบันมา จากสัญญากันไว้ๆ
นี่ก็เหมือนกัน เวลาก่อนจะเข้าพรรษาเราขนกันมา เราสนับสนุน เราทำบุญกุศลของเราเป็นบุญกุศลของเรา แต่เป็นบุญกุศลมันเป็นบุญกุศลเป็นอามิสๆ เป็นอามิสมันก็ดีงาม มันเป็นวัฒนธรรมเป็นประเพณีของชาวพุทธ
ชาวพุทธที่ไม่รู้เหนือรู้ใต้เลย เขาบอกชาวพุทธปล่อยปละละเลย
เราเคยมีเพื่อนนะ เป็นพระฝรั่ง พระฝรั่งเขามาคุยกับเราสนิทชิดเชื้อมาก เขาบอกคนไทยเป็นกบเฝ้ากอบัว เขาเป็นฝรั่ง เขาอยากบวชเขาต้องไปบวชอินเดีย อยากปฏิบัติไปลังกา ลังกาบอกถ้าจะปฏิบัติจริงๆ ต้องมาเมืองไทย เขาข้าม ๓–๔ ประเทศเขาถึงได้มาเจอพระกรรมฐาน
เวลาเขาปฏิบัติขึ้นมา เขาจะทำความเป็นจริง เขาบอกสงสารชาวไทยมากเลย ชาวไทยเป็นกบเฝ้ากอบัว ของดีมีอยู่แต่ไม่รู้จัก ไปมองอะไรกันก็ไม่รู้
นี่ไง ไปวัดไปวาไปทำอะไรกัน
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เรามาวัดมาวาขึ้นมา วันนี้วันเข้าพรรษา วันเข้าพรรษาขึ้นมาเราจะถือธุดงค์ เวลาถือธุดงค์ขึ้นมาเพื่ออะไร
เพราะหลวงตาท่านพูดไว้ ท่านบอกเลย ให้พระกรรมฐาน พระเราถือธุดงค์ พอถือธุดงค์มันเป็นอาวุธ มันเป็นวิธีการ แล้วถ้าไม่ถือธุดงค์นะ มันก็อยู่ในตำรา ต่อไปมันจะอยู่ในตำรา แล้วอนุชนรุ่นหลังทำอะไรไม่ถูกทั้งสิ้น
เพราะตำราก็ตีความนะ ส่งสารรัฐธรรมนูญตีความเลยว่าทำได้ ทำไม่ได้ แล้วทำแล้วจะมีเรื่องหรือเปล่า อู๋ย! ร้อยแปดเลย
หลวงตาท่านถึงให้ถือธุดงค์ๆ ไง
คำว่า “ถือธุดงค์” เพราะมันไม่ได้อย่างที่คิด เว้นไว้แต่ธุดงค์ไส้ใน มีการบอกกล่าวกัน มีการนัดแนะกัน ไอ้นั่นมันไม่ใช่ธุดงค์ มันไม่บริสุทธิ์หรอก ธุดงค์มันจะมีได้หรือเป็นไปไม่ได้
แล้วพอธุดงค์ขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ได้มาแล้วเรามักน้อยสันโดษ ถือธุดงค์เพื่อขัดเกลาๆ ไอ้นี่มันอยู่ในที่อุดมสมบูรณ์ อยู่ในที่ที่โยมมาได้ไง อยู่ในป่าในเขาไม่มีหรอก เราธุดงค์อยู่ในป่านะ มันมีแต่ผักต้มห่อด้วยใบตอง
สมัยนั้นไม่มี มีแต่ใบตองห่อผักต้ม กินข้าวเหนียว ใบตอง ผักต้มเท่านั้นน่ะ ทำอย่างนั้นมาตลอด
แล้วเวลาทำไปๆ โดยธรรมชาติของกิเลสใช่ไหม “โห! ทำดีแล้วไม่ได้ดี”
ไอ้ทำดีแล้วไม่ได้ดี เราก็คิด เราก็เป็น เป็นทั้งนั้นน่ะ เพราะคนมันคิดว่ามันทำดีๆ ทำดีคืออะไร ทำดีก็เป็นความดีของใจของตน แล้วทำดีก็เพื่อละกิเลสของตน แล้วที่มันโผล่ขึ้นมานั่นมันคืออะไร
นี่ก็เหมือนกัน เวลาถ้ามันเป็นความจริงๆ ทีนี้คำว่า “ธุดงค์” ขึ้นมา มันเป็นอาหาร สิ่งต่างๆ เพื่อประโยชน์ พอเพื่อประโยชน์ขึ้นมา พอถึงพระแล้ว เวลาถวายสังฆทานๆ เวลายัคเฆ ภันเต เขาต้องทำอุปโลกน์ อุปโลกน์ตั้งแต่พระเถระ มหาเถระ สามเณรน้อยถึงคฤหัสถ์
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นบัณฑิตมันเป็นธรรมๆ เวลาบิณฑบาตมาแล้วเป็นของพระ แต่พระก็ฉันแค่ใช้ประโยชน์ก็แค่นั้น สิ่งที่เหลือก็เป็นของฆราวาส นี่คบบัณฑิตๆ ไง
มันถึงว่าเวลาเราไปจัดไปแจงขึ้นมา
“แหม! ถือธุดงค์บอกว่าไม่ได้ตามใจชอบ แหม! จ้องมองเลยนะ เก็บนู่นเก็บนี่”
มันเพื่อความเป็นธรรม เพื่อความเสมอภาค เพื่อความเป็นประโยชน์ ถ้าเป็นบัณฑิตแล้วมันเป็นดีไปหมด แต่ถ้ามันเป็นโทษ มันเป็นโทษ คิดถึงคนข้างหลังหรือไม่ คิดถึงคนอื่นหรือไม่ ถ้ามันคิดถึงคนข้างหลัง คิดถึงคนอื่น คิดจิตใจที่เป็นธรรม มันก็เสมอภาคได้ แต่ถ้ามันเสมอภาคไม่ได้ ผู้เป็นหัวหน้า ผู้ที่บริหารต้องจัดการ เวลาจัดการ เราก็แก้ไข
นี่เวลาคนมองไง “โอ๋ย! ถือธุดงค์นะ ไม่ต้องการสิ่งใดเลย พอได้มาแล้วคุมแจไม่ให้ใครเลย”
เหมือนกับการหายใจ เวลาลมหายใจเข้าออก ลมหายใจ หลวงปู่ฝั้นบอกลมหายใจทิ้งเปล่าๆ ลมหายใจทิ้งเปล่าๆ หายใจเข้าหายใจออกเพื่อดำรงชีวิตไง
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านสอน เวลาสอนขึ้นมา ให้มีสติ กำหนดรู้ กำหนดรู้ในลมที่ปลายจมูก หายใจเข้าให้ระลึกรู้ ให้มีสติสัมปชัญญะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะ ลมอยู่กับเรา จิตอยู่กับเราสมบูรณ์เลย จิตอยู่กับเราสมบูรณ์เลย
จิตของเราแท้ๆ พลังงานมันแผ่ซ่านออกไปหมดเลย แล้วโอ๋ย! ยิ่งใหญ่ ยอดเยี่ยม แต่อกกลัดหนอง เป็นทุกข์เป็นยาก อกแทบระเบิด นี่ยิ่งใหญ่
แต่คนมีสติปัญญานะ หายใจแล้วตั้งสติไว้ ลมหายใจเหมือนกัน แต่เวลาพระกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ท่านได้ประโยชน์กับลมหายใจของท่าน ได้ประโยชน์กับลมหายใจของท่านเพราะท่านมีสติปัญญากับลมหายใจของท่าน
ทั้งๆ ที่ธรรมชาติของคนต้องมีลมหายใจ สมองขาดออกซิเจน ๕ นาที อัมพฤกษ์ ๘ นาทีตาย สมองตายเรียบร้อย มันมีคุณค่าขนาดนั้นกับการดำรงชีวิตน่ะ แต่ถ้าเรามีสติควบคุมมันมีคุณค่ามากกว่านั้น เพราะอะไร
เพราะชีวิตเขาสมบูรณ์ สุขภาพกาย สุขภาพจิตสมบูร์อยู่แล้ว แล้วยังมีความสุข ความสุขที่ไหน ความสุขที่ว่าสติสัมปชัญญะมันพร้อมกับใจของเรา เห็นไหม ไม่ใช่อกกลัดหนอง ไม่มีสิ่งใดบีบคั้น ไม่บีบคั้นเพราะอะไร เพราะมันโล่งหมดไง มันไม่ใช่บ้าหอบฟางไง
ไอ้พวกบ้าหอบฟางปัญญามาก เลอเลิศ มันแบกความรู้มันไว้ แล้วมันก็ทบทวน มันกลัวลืมไง มันก็ไปเป็นบ้าหอบฟางไว้เลย
แต่เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลามันปล่อยมันวางหมดเลย มันไม่ใช่ไอ้บ้าหอบฟาง มันปล่อยวางหมดเลย โอ๋ย! มันโล่ง โล่งเพราะอะไร โล่งเพราะมีสติการควบคุมจิตของตนให้จิตของตนฉลาดขึ้น ไม่ให้ไปแบกรับภาระการแบกหามอันนั้น
การแบกหามๆ ความคิด ความเคียดแค้น ความทุกข์ระทม ไม่รู้ว่าไปแบกหามมันน่ะ แบกหามแล้วแก้ไม่ได้ด้วยไง
นี่ไง วันนี้เข้าพรรษา พอเข้าพรรษาขึ้นมา เราสนับสนุนด้วยบุญกุศล ให้พระฝึกหัดขึ้นมาให้มีสติปัญญา ที่ว่าจะเป็นโลกุตตระๆ
เวลาขี้โม้กันนัก “แหม! อย่างนี้เป็นโลกุตตระ ไอ้นี่เป็นโลกียะ”
โลกียะทั้งหมด ไม่มีโลกุตตระหรอก ถ้ามันเป็นโลกุตตระ โลกุตตระด้วยความเข้าใจของตน ด้วยการบัญญัติศัพท์คิดเอาเอง ไม่มีอยู่จริง
ถ้ามีอยู่จริงนะ ความเป็นอยู่ สิ่งที่ว่าถือธุดงค์ๆ
แล้วไปถือทำไมให้มันวุ่นวาย ให้มันยุ่งยาก
มันไปขัดเกลากิเลสไง มันไปขัดเกลาต่อมความไม่พอใจของคนน่ะ ต่อมไม่พอใจ ต่อมที่อยากสะดวกสบาย ต่อมในหัวใจน่ะ นี่ไง ธุดงควัตรมันไปขัดให้มันไม่พอใจ ให้มันสะดุดไง นี่เครื่องมือ มันเป็นคุณงามความดีที่เราจะไปขัดแย้งกับกิเลสของเราไง
แล้วบอกว่า เวลาธุดงค์นี่ แหม! มันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส เป็นของดี เวลาที่เขาชุมชนของเขา เขาเคร่งครัดของเขา ไอ้นั่นว่าไม่ดี
ชุมชนก็เป็นชุมชน นี่ไง โลกียปัญญา สิ่งที่ถวายมาเป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสนะ เวลาทำบุญกุศลดีไหม ดี ดีตรงไหน ดีที่คนที่เสียสละ
หลวงตาท่านพูดนะ คนที่เสียสละเหมือนเจ้าของนา เจ้าของนา พระนี้เป็นเนื้อนาบุญของโลก เจ้าของนาเขาหว่านพืชหวังผลของเขา เขาหว่านพืชสิ่งใดก็จะเป็นผลของเขา
นา เวลานา เวลาเขาเกี่ยวข้าวไปแล้ว ไอ้พวกเศษฟาง ไอ้พวกเมล็ดข้าวเปลือกที่มันตก นาได้แค่นั้นน่ะ ได้แต่เศษๆ
นี่ไง ถวายๆ ไป ผู้ที่ได้รับคือเนื้อนา ไอ้เราเจ้าของไร่เจ้าของนา เราเก็บเกี่ยวของเราไป เวลาเก็บเกี่ยวของเราไป นี่พูดถึงเปรียบเทียบไง
แต่ความจริงที่เสียสละ ที่ว่าดีไหม ดี ดีเพราะอะไร ดีเพราะคนคนนั้นเขามีสติปัญญาของเขา แล้วถ้าเขาทำด้วยบุญกุศลของเขาโดยที่ไม่ต้องรักษาหน้าตาของเขา ไม่ต้องไปบีบคั้นตนเอง ไม่ต้องตั้งกรอบของตนเอง อะไรก็ได้ไง ข้าวสารทัพพีหนึ่งก็พอ อะไรก็ใส่ถุงใส่บาตรไปๆ
ใส่บาตรที่ไหน
ชิตังเม ชนะใจตนเองไง ไม่กระดากอาย ไม่ต้องไปให้ใครติฉินนินทา ใครติฉินนินทาก็ลมปากของเขา โลกธรรม ๘ มันเรื่องของเขา ถ้าเราทำของเรา นี่ไง เราชนะใจเราเองตลอด ตลอดเพราะอะไร ตลอด ถ้ามีการเคลื่อนไหวอย่างนี้ไง จิตใจนี้มันจะไม่จมปลักอยู่กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง
จิตใจนี้ไปจมปลักอยู่กับกิเลสของตน น้อยเนื้อต่ำใจ เราทุกข์เรายาก เราไม่ได้เหมือนคนอื่น
ไม่เหมือนคนอื่นก็ฟื้นฟูขึ้นมาสิ หัวใจมันฟื้นฟูขึ้นมา ถ้าฟื้นฟูขึ้นมา คนจนผู้ยิ่งใหญ่ไง ดูหลวงตาสิมีบริขาร ๘ ท่านกอบกู้ชาติไทย ชาติไทยที่จะเป็นเบี้ยล่างของเขา ถ้าไม่มีหลวงตาจะต้องตรากตรำต้องทุกข์ยากมากกว่านี้ไง เพราะจะเป็นหนี้เป็นสินมากกว่านี้ไง เขาจะบีบบี้สีไฟจนค่าเงินตกต่ำไง เขาจะมาช้อนซื้อเอาแต่ทรัพย์สินที่มีคุณค่าไปไง แล้วพวกเราก็เหลือแต่กาก กาก กาก
คนจนผู้ยิ่งใหญ่
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำหัวใจเราให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นมา จะทุกข์จะจน เออ! เปลือกนอก แต่หัวใจยิ่งใหญ่ได้ หัวใจยิ่งใหญ่ได้
ดูเวลาพระ พระถ้าเป็นพระที่ดีจะเป็นพระธรรมดา พระปกติธรรมดา พระมีฤทธิ์มีเดช พระขี้โม้ พระโอ้อวด ไร้สาระ เพราะมันไม่ใช่ธรรมะ
ธรรมแท้ๆ อ่อนน้อมถ่อมตน
ต้นข้าวเวลาเมล็ดข้าวมันสุกงอมมันน้อมลงต่ำทั้งนั้นน่ะ ไม่มีชูอย่างนั้น ชูอย่างนั้นมันมีแต่ต้น ไม่มีเมล็ด ข้าวมันมีแต่ต้น ไม่มีเมล็ดหรอก ชาวนาขาดทุน ถ้าชาวนาเขาจะร่ำรวย ข้าวเต็มรวง เมล็ดข้าวสมบูรณ์มันน้อมลง
เหมือนกัน ถ้าเป็นธรรมๆ นะ เป็นธรรมเพื่ออะไร เป็นธรรมคือความปกติของใจ ธรรมคือว่าให้พวกเรามีความสุข มีความสงบ มีความระงับ ไอ้นี่เงินซื้อไม่ได้
เงินจะมาซื้ออะไร เอ็งซื้อได้ กูก็ซื้อได้ เอ็งซื้อสอง กูซื้อสี่ เงินซื้อได้ทั้งสิ้นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เงินซื้อคน ซื้อต่างๆ แต่ซื้อคุณงามความดีไม่ได้ ซื้อสัจจะความจริงไม่ได้ แล้วถ้าซื้อสัจจะความจริงไม่ได้ แล้วมันจะเอาความจริงที่ไหน
เรามาวัดมาวา เราขวนขวายกันมาเพื่ออะไร
การเสียสละอย่างนี้มันเป็นโอกาสของคนนะ เวลาคนเป็นชาวพุทธไปอยู่ต่างประเทศ ถ้าไม่มีวัดไทย ไม่มีพระนะ จะทำบุญที่ไหน จะไปทำอะไร
นี่เกิดในประเทศอันสมควร ฝรั่งถึงบอกไง คนไทยเป็นกบเฝ้ากอบัว มีของดีแล้วไม่รู้จักของดี แล้วของดีก็กิเลสพลิกไปซะ ของดีก็ยศถาบรรดาศักดิ์ ของดีก็เงินทอง ใครมาก็ทรัพย์จางๆ
มีคนมีเงินมากมายมหาศาลทุกข์ยากจนเงินนั้นก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ วิ่งมาหาหลวงตาเยอะแยะ แล้วหลวงตาเคยพูดให้เราฟัง
สงบ เคยเห็นใครมาหาเราบอกว่าสุ๊ขสุข สุ๊ขสุข มีไหม
ไม่มี ใครมาก็ทุกข์ๆๆ จะสูงส่งขนาดไหนก็ทุกข์ๆๆ แก้ได้ไหมล่ะ แล้วสุขมันอยู่ที่ไหนล่ะ
นี่เราแสวงหาหากันนะ ฉะนั้น สิ่งที่เราทำเราก็ทำเพื่อประโยชน์กับเรา แล้วที่เสียสละ เสียสละเพื่อการประพฤติปฏิบัติ แล้วพระที่ได้รับสิ่งนี้แล้วก็เจือจาน เห็นไหม ที่เราทำเราเจือจานหมด ของที่เข้ามาแล้วเราจะแจกทั้งสิ้น
คนทุกข์คนยากมี คนที่ขาดแคลนมี แต่คนที่มีศักดิ์ศรีเขาขาดแคลนเขาไม่พูด คนที่ขาดแคลนมี เราสนับสนุนตรงนั้น ไอ้เราที่ว่าเราขาดแคลน ขาดแคลนเพราะใจมันคิดว่าขาดแคลน แต่ถ้าใจมันสมบูรณ์ขึ้นมาแล้วนะ อะไรขาดแคลน
เวลามาวัดขึ้นมา “หลวงพ่อขาดอะไร”
ขาดหัวใจมึงน่ะ ขาดหัวใจมึงที่เข้าทางจงกรมน่ะ มึงไม่ต้องมาห่วงมาวัดขาดอะไร วัดเขามีน้ำมีข้าวกินอยู่แล้ว แต่เวลาขาด ขาดพวกมึงน่ะ ขาดสติปัญญาเอ็งนั่นน่ะ ที่ควบคุมใจของเอ็งนั่นน่ะ เวลามาแล้วก็ฟื้นฟูขึ้นมาให้ได้ไง
มาทำแปลงทำพืชผลขึ้นมาให้หัวใจมันฟื้นฟูขึ้นมาให้ได้ ไอ้นั่นน่ะสำคัญ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด
การปฏิบัติบูชา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
เวลามีลมหายใจ ทุกคนมีลมหายใจ เราตั้งสติกับมันไว้ อย่าเผออย่าเรอ ลมหายใจทำอะไรก็ได้ มีลมหายใจ กำหนดดูลมหายใจของตน เกาะลมหายใจของตน ลมหายใจนั้นจะพาจิตเราให้ดีงาม ลมหายใจของเราด้วยสติปัญญาของเราจะทำให้จิตของเราหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลส ลมหายใจของตนนั่นน่ะ ลมหายใจของตน
พุทธะอยู่ที่ใจ พุทธะคือความรู้สึกอันนั้นน่ะ แต่เพราะขาดสติขาดปัญญา ทอดทิ้งมันน่ะ ทอดทิ้งหัวใจของตน ทอดทิ้งคุณงามความดีของตน แล้วก็จะไปบูชาบ้าบอคอแตกอะไรกัน หัวใจของตน พุทธะกลางหัวใจมันไม่รู้จัก มันไม่ดูแลหัวใจของมัน เอวัง